7 แนวคิดเมื่อต้องทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รัก
ใครๆเมื่อต้องทำงานที่ตัวเองไม่ได้รักเป็นธรรมดาครับที่จะไม่มีความสุข
และบางครั้งต้องอึดอัดกับสิ่งที่ต้องฝืนทำ
บางครั้งต้องมาพบว่า....ร่างกายไม่อยากทำ ท้อถอยอย่างไม่มีสาเหตุ
เหมือนมีอะไรที่มาบอกว่า...
อย่าทำมันเลยดีกว่า ไปทำงานอื่นเหอะ
ทุกคนต่างก็ต้องทำงานเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ
ต่างก็มีเหตุผลลึกๆในใจที่ไม่อยากบอกออกมาให้ใครได้รับรู้
ผมเองในอดีตผมเองก็ไม่ชอบงานที่ทำเท่าไหร่หนักครับ คือต้องเปลี่ยนงานไปขายของ
ขอเรียนทุกท่านตามตรงว่า ”โคตรเกลียด”
แต่ฝืนทำใจให้รัก และทุกวันที่ได้ขายของเหมือนได้เรียนรู้อะไรใหม่
และคิดว่ามันอาจเป็นบันใดต่อยอดอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ และมันอาจส่งผลดีกับตัวผมเองก็ได้
และแล้ว สุดท้ายผมก็ถูกไล่ออกตามระเบียบ ( โถ่....เล่ามาทำไม
กันนี่ 5555+)
แต่สิ่งที่ได้คืนมาคือ ประสบการณ์และความรู้ที่มาต่อยอดครับ
เมื่อลองย้อนกลับไปดูก็ได้สิ่งที่อยากนำมาแบ่งปันกับทุกท่านเผื่อจะมีประโยชน์บ้างครับ
1.อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ให้คิดเสียว่ามาทำงานเพื่อการเรียนรู้
คนที่เขาจ้างงานเขาไม่ได้จ้างเราฟรีๆสักหน่อย ......ว่าไหมล่ะ เราก็จะต้องจ่ายเงินนี่หนา
ไม่ผ่านเขาก็เอาเราออก แต่ก่อนจากก็ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือไปหน่อยดิ
นั่นคือ “ความรู้และประสบการณ์” ที่เขาเอาไปไม่ได้...ส่วนอย่างอื่นเขาเอาไปหมดครับตามระเบียบ
ความรู้และประสบการณ์นี่หละครับ ที่คุณสามารถนำมาต่อยอดสร้างรายได้และสามารถเรียนรู้เพิ่มเติม
สร้างธุรกิจและรับจ้างฟรีแลนด์ยังได้ครับ
2.มองงานที่ทำในด้านที่เป็นบวก
ลองมองมันในด้านที่ดีเป็นบวกบ้างครับ
เพราะผมเองก็ต้องมาทำงานที่ไม่ได้รักเลยอย่างที่เขียนไปในตอนต้น
แต่ก็ทำใจและมองมันในด้านที่ดีว่า
“ผมอาจได้นำความรู้จากสิ่งที่ทำในตอนนี้ ไปต่อยอดในอนาคตได้”
เมื่อคิดได้จึงอยากที่จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด ถึงรู้ในใจลึกๆว่า
“ ไม่ได้ชอบมันเลยก็ตามทีเหอะ”
3.ทำใจให้รักกับงานที่ทำและทำมันให้ดีที่สุด
ไม่ได้ชอบงานที่ทำตอนนี้เลย อยากจะลาออกจนตัวอยู่แล้ว
แต่อย่าลืมว่ายังไงก็ต้องกิน ก็ต้องใช้เงิน และมีชีวิตอยู่รอด
ยังไงการทำใจรักมันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ครับ
และทำมันให้ดีที่สุดไปเสียเลยน่าจะดีที่สุด
เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอนครับ
งานที่ทำอยู่มันอาจเป็นบันใดเบิกทางสู่สิ่งที่ใช่
ดั้งนั้นการเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่ทำอยู่ให้ได้ที่สุด
ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง
ตลอดจนหาที่ทำงานที่อื่นเผื่อครับ
เพราะบริษัทมักชอบรับคนที่ยังไม่ออกจากงาน
และคุณสามารถใช้เงื่อนไขนี้ต่อรองกับนายจ้างได้
4.ใช้งานที่ทำอยู่เป็นหนทางสู่โอกาสใหม่ๆ
งานที่ทำอยู่อาจเป็นจริงที่คุณไม่ชอบเลย
แต่ลองหาหนทางต่อยอดจากสิ่งนี้ดูครับ
หรือใช้มันเป็นช่องทางเพื่อเพิ่มทางเลือกเสียเลย
ผมมีเรื่องที่อยากมาเล่าครับ คือ
ผมอ่านเจอเรื่องราวของคนหนึ่งจากบทความแห่งหนึ่ง
พี่เขาทำบัญชีแต่ต่อมาเริ่มค้นคบว่า
ตัวเองรักที่จะทำอาหาร
แต่มีลูกค้าของสำนักงานบัญชีที่ทำงานด้านนี้อยู่
เมื่อมีเวลาว่าง เธอจึงสมัครเรียนจากลูกค้ารายนี้
จนสามารถทำอาหารออกมาอร่อย
จึงเริ่มขายนอกเวลาว่างหลังจากทำงาน
จนมีรายได้มากกว่าทำงานประจำ จึงตัดสินใจลาออก
ทักษะการทำบัญชีกลับช่วยเธอทำในสิ่งที่รักที่ชอบให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
เพราะทำธุรกิจมันต้องเกี่ยวกับเงินอยู่แล้วครับ
5.เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับงานที่ทำ
ไม่ว่าคุณจะไม่ชอบสิ่งที่ทำอยู่ไม่ว่ามันจะมาจากเหตุผลอะไร
การเรียนรู้และการที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ การมองมันในด้านที่ดี
เป็นการฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนที่มองโลกในด้านที่ดีครับ
ลองคิดดูสิครับ ไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข
หากให้คุณต้องอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายล่ะ ?
คุณคงต้องตอบว่า...
คงจะไม่ชอบ
บางทีครับ งานที่คุณไม่ได้รักมันอาจมา จากคนอื่นที่ไม่ชอบงานนี้
เพราะจิตใจลึกๆ เราไม่รู้ว่า “
เขาคิดกับเรายังไง “
เมื่อก่อนในวันที่ผมทำงานในที่ทำงานเดิมครับ ผมเคยตอบกับหัวหน้างานผมแบบนี้เลยในอดีต
“ ผมชอบงานแต่ไม่ชอบคน ผมเกียจนิสัยพี่คนนี้มากเลย วันๆเอาแต่บ่น “
พอนึกได้ผมไม่ควรพูดออกไปแบบนี้เลยจริงๆ
ผมควรเก็บความรู้สึกเอาไว้และมองทุกคนในด้านที่ดี
และปรับความคิดของผมเอง
ตลอดจนฝึกให้ตัวผมเองมีความสุขเป็นทางออกที่ดีกว่า
6.ให้คิดเสียว่า....” งานที่ทำอยู่ในตอนนี้
ฉันอาจต้องนำมันมาแก้ปัญหาบางอย่างในอนาคต
มันจะต้องนำมันมาใช้อย่างแน่นอน”
การคิดแบบนี้ช่วยให้คุณทำงานนั้นออกมาให้ดีที่สุดครับ
เพราะเมื่อเจองานที่รักที่ชอบ แน่นอนครับมันต้องมีงานที่ไม่ชอบ
และส่วนมากแล้ว.....มันคือ งานที่คุณเกลียดนั่นหละ
การปรับทัศนคติจะช่วยทำให้งานที่ทำออกมาดีแล้ว
และเมื่อได้ลงมือทำในสิ่งที่รักและชื่นชอบ
มันจะช่วยให้งานที่ทำอยู่ดีขึ้นกว่าเก่าครับ
เมื่อคุณทำสิ่งปัจจุบันนี้ออกมาดีที่สุด
งานในอนาคตมันก็ย่อมดีที่สุดเช่นเดียวกัน
7.หาเป้าหมายในชีวิต ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
การที่ทำงานที่ตนเองไม่ได้รัก จะมาจากการขาดเป้าหมายในชีวิต
มันเป็นมาตั้งแต่ตอนที่เราเรียนกันอยู่แล้วล่ะครับ
ทำไมกันล่ะ นึกถึงตอนอดีตผมในสมัยตอนเรียนมัธยมตอนปลาย
ผมให้เพื่อนกรอกใบสมัครเข้ามหาลัยให้ไง 5555+
หากสหายรักเห็นว่าข้าน้อยสมควรเรียนคณะไหน มหาลัยอะไรก็เชิญเลย
สุดท้ายเมื่อนึกกลับไปได้ อยากตบหัวตัวเองจริงๆ
โรงเรียนไม่ได้สอนให้คนตั้งเป้าหมายในชีวิต
ตัดสินใจที่จะกำหนดชีวิตเอง
เวลาที่จะเรียนต่อมักถามคนอื่น
หรือให้สังคมตัดสินใจให้
และนิสัยนี้มันเลยตามมาจนเราทำงานไงครับ
จึงเป็นที่มาให้เราเองต้องมาทำงานที่ตนเองไม่ได้รัก
ต่างจากสังคมต่างประเทศที่ให้เด็กค้นพบตัวเองก่อน สัก1-2 ปี
อาจเดินทาง หรือทำงาน
แล้วตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ
วันนี้หากทำงานที่ไม่ชอบเป็นหน้าที่ของตัวเองแล้วล่ะครับที่ต้องตัดสินใจว่า
จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองดี
ไม่มีใครที่จะมารับผิดชอบตัวเองได้ และลงมือเขียนเป้าหมายเสียที
การหางานที่รักจริงๆแล้วมันคือ
การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
เพราะจู่ๆไม่รู้หรอกว่า ชอบอะไร ถึงมีก็เป็นส่วนน้อย
เพราะกว่าจะเจอมันต้องใช้เวลา
การนำเอาการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ
ใส่ในเป้าหมาย รายเดือน รายปี ก็แล้วแต่คุณครับ
ทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดที่ผมรวบรวมมาจากประสบการณ์และสิ่งที่พบมากับตัวผมเองครับ
อาจไม่ถูกต้องที่สุด หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับทักทุกท่านที่อ่านจริงๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น